บ้านหลังน้อย ‘ฑีฆายุ’ บุตรแท้ๆ ‘แอนนี่ บรู๊ค’
บ้านหลังน้อย ‘ฑีฆายุ’ บุตรแท้ๆ ‘แอนนี่ บรู๊ค’
อีกหนึ่งคุณแม่เลี้ยงเดี่ยวสุดสตรอง สำหรับ”แอนนี่ บรู๊ค” ที่ตอนนี้กลายเป็นหัวหน้าครอบครัวทำงานหาตังเลี้ยงคุณแม่ และบุตรชายอย่าง ‘น้องฑีฆายุ’
วัย 11 ปี ซึ่งมีบุตรชาย น้องฑีฆายุ เป็นดังแก้วตาดวงใจ โดยก่อนหน้านี้แอนนี่เคยไปทำงานต่างประเทศ เพื่อหาตังส่งให้บุตรชายเรียนโรงเรียนอินเตอร์
แต่ถึงแม้จะได้ตังมาก แต่ก็ต้องแลกกับค่าใช้จ่ายต่างๆ รวมถึงชีวิตที่แสนแพง อีกทั้งบุตรชายอยากอยู่กับแม่มากขึ้น แอนนี่จึงยอมกลับมาหางานในเมืองไทยและ
ลดค่าใช้จ่ายลงเศรษฐกิจที่ทุกวงการ ทุกอาชีพระส่ำระสาย หาตังฝืดเคืองเรียกว่าหืดขึ้นคอกันเลยทีเดียว แต่สำหรับแอน แอนว่าตัวเองเป็นคนไม่อยู่เฉยและมองหา
ช่องทางทำมาหากินอยู่ตลอดเวลา ถึงช่วงที่หาตังยากก็จะพยายาม หาให้ได้เพื่อบุตร ตอนเล็กนั้นฑีเรียนอนุบาล เทอมนึงก็หลายอยู่ เพราะโรงเรียนใกล้บ้านที่บางนา
ของผู้ใหญ่ที่ช่วยดูแลน้องเวลาที่แอนทำงาน ค่าเทอมถือว่าอยู่ในระดับกลางถึงแพง แต่ด้วยวัยตอนนั้นแค่ 33 ยังไหวต่องานหนัก จึงไม่มีปัญหา วันคืนผ่านไป เด็กชายขึ้น ป.1
ด้วยความที่เห็นบุตรเก่งภาษาและตัวน้องขอเรียนโรงเรียนที่มีฝรั่ง ซึ่งเรื่องนี้เป็นเรื่องจริง ออกจากปากน้องจริงๆ เราจึงเดินทางต่างประเทศอีกครั้งเพื่อหาตังทุนในการเรียน
ใช้ตังหลายแสนในการเริ่มต้นและยังมีค่าเทอมต่อๆ มาทุกเทอม แต่น้องใฝ่เรียนและคะแนนเต็มเกือบทุกวิชาจึงยอมให้น้องเรียน… อันว่าโรงเรียนอินเตอร์นั้นดี ตรงที่เด็กอิสระ เรียนๆ เล่นๆ
มีทุกอย่างในการเรียนต่อสัปดาห์ พ่อแม่แทบไม่ต้องหาเรียนพิเศษ ไม่ต้องเจอสอบ โอเนทเอเนทอะไรมากมาย หรือสอบเข้าโรงเรียนให้เครียด จะเข้าก็เข้าเลย จ่ายตังค์ จบเด็กก็คุยกันภาษาอังกฤษซะส่วนมาก
ซึ่งเป็นส่วนแข็งของโรงเรียนอินเตอร์ แต่ อย่าลืม สังคมแบบนี้ย่อมแลกมาด้วยกิจกรรมที่แสนแพง เทศกาล ไทย+เทศแต่ละปี อย่างเยอะ บางทีหาเสื้อผ้ากันแทบไม่ทัน น้อยหน้ากันก็ไม่ได้
เป็นการสร้างค่านิยมหัวสูงให้ลูกโดยเราไม่รู้ตัว พอ ป.2 ผ่านไป ค่าใช้จ่ายมีแต่เพิ่มขึ้นและเพิ่มขึ้น.. ประกอบกับ น้องเริ่มโตและเริ่มอยากอยู่ใกล้แม่มากยิ่งขึ้น นั่งมองตังในบัญชี กับ พิจารณาค่าใช้จ่ายแต่ละเดือน
แต่ละปีผ่านไป ทุกเหตุผลบวกกัน จนเราต้องทิ้งงานทิ้งตังที่ว่าหาได้ง่ายตอนนี้ก็ไม่ได้มีหรือร่ำรวยและยังคงหางานทำอยู่ตลอด แต่มุมมองก็เปลี่ยนไปคือต้องหางานที่เราดูแลลูกได้และเซฟค่าใช้จ่ายทุกอย่างลงด้วยในจุดนี้
จึงมองหาโรงเรียนใหม่ซึ่งไม่ง่ายเลย ใครเป็นพ่อแม่ย่อมรู้ดี และเปลี่ยนจากอินเตอร์มาธรรมดามันต้องเข้ากลางเทอม! ต้องหาโรงเรียนที่มีการเรียนการสอนที่รองรับเด็กเข้ากลางเทอมแบบนี้ โชคดีที่ไถ่ถามเพื่อนๆ พี่ๆ
ได้ข่าวจึงลองไปดูเห็นชอบเลยให้เรียนเลย ตอนแรกกลัวมาก เพราะน้องไม่เอาเลยนั่นก็ไม่ดี นี่ก็ไม่เอา แต่สุดท้ายเราให้เหตุผลที่ดี บอกความจริงถึงสถานการณ์ในชีวิต ทุกอย่าง พอไปหลายวันเข้าและปรับชีวิตกัน
อยู่พักหนึ่งเรื่องดีๆ ในการเข้าเรียนก็ตามมา ที่สำคัญ ค่าเทอมไม่แพงมากกิจกรรมไม่เยอะมาก ไม่ต้องเสียตังโดยใช่เหตุ และความเฮี้ยบของครูไทยดีกว่าอินเตอร์ตรงที่อัตราการแกล้งกันแรงๆ มีน้อย น้องเคยเล่าว่าอยู่
โรงเรียนเก่าโดนจับกดน้ำในสระว่ายน้ำ, โดนมัดอยู่ในถุงดำแทบหายใจไม่ออก, โดนดินสอแทงเลือดอาบกลับบ้านทุกวันนี้ไส้ดินสอยังปักคาหลังอยู่เลย เพราะความอินเตอร์มันอิสระมากเกิน แต่ที่นี่ไม่มีเรื่องแบบนี้กวนใจ
(มีนิดหน่อยตามประสาเด็กๆ แต่ไม่รุนแรงมาก) อาหารกลางวันมีให้ทาน ไม่เสียตังทุกวันนี้ มีความสุขตามอัตราที่มีที่เป็นอยู่ มีบ้างที่หนักๆ จนท้อแต่ก็ไม่ถอย มีตัวเองและลูกเป็นกำลังใจมาตลอด และส่วนตัวเอง
ตัดขาด สิ่งฟุ่มเฟือยทั้งหมด ไม่เที่ยวไม่ซื้อเสื้อผ้าเครื่องสำอาง และยังคอยมองหาช่องทางในการทำมาหากินและคอยไถ่ถามไอเดียใหม่ๆ จากคนรอบข้างอยู่เสมอ บางทีการลดการไต่ระดับลง ลดอัตราลง เราอาจจะพบกับความสุขมากกว่าเดิมก็เป็นได้